ยิ่งเข้าสู่ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ก็ยิ่งหมายความว่าใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าตัวน้อยจะได้ลืมตามาดูโลกแล้ว แต่นั่นก็หมายความว่า คุณพ่อคุณแม่ยิ่งควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์มากยิ่งขึ้นไปอีก
ในช่วงระยะนี้ ร่างกายของคุณแม่ยังคงต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 300 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเทียบได้กับอาหารหลัก 1 มื้อ โดยคุณแม่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เช่นเดิม แต่อยากให้เน้นโปรตีนเป็นพิเศษ เพราะระยะนี้เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการโปรตีนสูงที่สุด แต่คุณแม่ควรระวังเรื่องการทานของหวาน และเรื่องน้ำหนักที่ขึ้นมากเกินไป เพราะอาจเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ และไม่ควรรับประทานของหมักดอง อาหารรสจัด อาหารปรุงไม่สุก ควรงดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีควันบุหรี่
1.ไข่
ไข่เป็นอาหารบํารุงครรภ์ที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ทั้งโปรตีน ไขมัน กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด รวมไปถึงโคลีนที่เป็นสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองและกระดูกสันหลังของตัวอ่อนทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิด โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินไข่อย่างน้อย 1–2 ฟองต่อวัน และไม่ควรกินไข่ดิบเพราะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อซาลโมเนลลาได้
2.ปลาหรืออาหารที่มีส่วนประกอบของโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นโปรตีนที่สำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ทั้งทางสมอง ภูมิคุ้มกัน กระดูกและฟัน โดยตัวอย่างอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ได้แก่ อาหารทะเล เมล็ดเจีย วอลนัต น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันถั่วเหลือง หรือปลาแซลมอน
3.เนื้อสัตว์และโปรตีนไร้มัน
เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนและธาตุเหล็ก รวมทั้งยังมีวิตามินบี สังกะสี โคลีน และสารอาหารอื่น ๆ การได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ และคุณแม่เสี่ยงต่อการภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ระหว่างตั้งครรภ์มากขึ้น
4.ผักและผลไม้อื่น ๆ
การกินผักและผลไม้หลากสีจะช่วยให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะวิตามินซีและกรดโฟลิค โดยคุณแม่ตั้งครรภ์อาจต้องการวิตามินซีอย่างน้อย 70 มิลลิกรัมต่อวัน และต้องการกรดโฟลิคในปริมาณ 400–1,000 ไมโครกรัมต่อวัน คุณแม่สามารถเลือกกินได้ทั้งผักผลไม้สด หรือผักผลไม้ที่ผ่านการปรุง แช่แข็ง บรรจุกระป๋อง น้ำผักผลไม้หรือผักผลไม้อบแห้ง ซึ่งผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารที่คุณแม่เลือกกิน เช่น ผักใบเขียว บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ อะโวคาโด พริกหยวก ส้ม แอปเปิ้ลและกล้วย เป็นต้น
5.ธัญพืชเต็มเมล็ด
ธัญพืชเต็มเมล็ดอุดมไปด้วยใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินอี แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิคและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์มักขาดสารอาหารดังกล่าว โดยอาจเลือกกินเป็นข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวกล้อง ข้าวบาเลย์หรือควินัวก็ได้
6.พืชตระกูลถั่ว
ถั่วชนิดต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหารบํารุงครรภ์อีกชนิดที่คุณแม่ตั้งครรภ์เลือกกินได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก รวมถึงใยอาหารที่ช่วยบรรเทาและป้องกันการเกิดริดสีดวงทวารหรือภาวะท้องผูกในผู้ที่ตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิคซึ่งเป็นสารอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการ พัฒนาการต่าง ๆ ของลูกในครรภ์ ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารของคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะลูกในครรภ์นั้นได้รับสารอาหารผ่านทางรกที่คุณแม่ได้รับประทานเข้าไป นอกจากการกินอาหารบำรุงครรภ์แล้ว คุณแม่ควรใส่ใจในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณเหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์สำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ทารกมีน้ำหนักตามมาตรฐาน บรรเทาอาการปวดหลัง ท้องอืดและการเกิดตะคริวที่ขา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์และภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้
